Skip to main content

เที่ยวต่อในคีวชูกับจังหวัดนางาซากิ วันที่ 2 ตอนที่ 1 — เกาะฮาชิมะ

· 2 minute read · Travel Kyushu Trip

สำหรับวันที่ 2 นี้ผมไปเที่ยวเกาะฮะจิมะสุดหลอน และ เฮาส์เทนบอชอันสวยงามเหมือนทุ่งดอกไม้ได้อย่างไร วันนี้ผมจะมาเล่าให้เพื่อนๆฟังครับ ต่อเนื่องจาก blog อันที่แล้วสำหรับวันแรกครับ และใน blog นี้เป็นวันที่ 2 ของการท่องเที่ยวในนะงะซะกิครับ

ส่วน story ผมไปเที่ยว เฮาส์เทนบอช ก็สามารถเข้าไปดูได้ที่นี่ครับ

ตื่นเช้า

เนื่องจากว่าเมื่อวานก็ให้เวลาตัวเองไปกับการปรับตัว ปรับเวลาซะมากเกินไป วันนี้ผมก็เลยตื่นเช้าเป็นพิเศษครับ เพราะผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าอากาศมันจะเป็นอย่างไร ก็ได้ตามที่เพื่อนๆ เห็นในรูปด้านล่างเนี่ยแหละครับ

คือ คนเค้ายังนอนอยู่เลยครับ แทรมก็ยังไม่เรื่มให้บริการ และก็ไม่เห็นใครเดินมาเลย ผมตื่นมาแล้วออกจากห้องประมาณ 7 โมงเช้าแล้วนะครับ ถ้าเป็นประเทศไทย คือ 6 โมงคนก็เยอะแล้วครับ (เนอะ)

แต่ช่างมันเถอะครับ อากาศดีจะตาย แล้วเมืองก็เงียบมากๆ ด้วย

ส่วนแพลนแรกของการท่องเที่ยวในวันนี้ นั่นก็คือ ไปเที่ยวเกาะฮาชิมะครับ ผมก็เลยจะเดินจากที่พักผมไปท่าเรือของจังหวัดครับ โดยก็ไม่ได้ไกลอะไรกันมาก และก็สามารถขึ้นรถแทรมไปลงได้ครับ แต่ตอนนั้น มันยังเช้าไปครับ รถแทรมยังไม่ให้บริการเลยด้วยซ้ำไป

ระหว่างที่ผมเดินไปยังท่าเรือนั้น ผมก็ได้เห็นสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ และก็ตึกราวบ้านช่องของคนในจังหวัดนี้ครับ บอกเลยว่าก็เดินได้เรื่อยๆ เลยครับ ส่วนภาพด้านบนนั้น ก็น่าจะเป็น

เกาะที่เคยเป็นเมืองบนเหมืองถ่านหินร้าง ฮะจิมะ

ต้องเล่าความเป็นมาของเกาะนี้ก่อนนะครับ เกาะนี้เป็นเกาะที่ในสงครามโลกครั้งที่ 2 นำไปขุดเหมืองถ่านหินครับ โดยเกาะมันก็เล็กมาก แล้วต้องให้คนขุดเหมืองอยู่กันเป็นเมืองอ่ะครับ ตึกมันก็จะติดๆ ชิดๆ กันมาก

ส่วนความสยองของมัน ผมว่ามันก็อยู่ที่ว่าที่นี่ถูกทิ้งร้างเลยครับ ไม่มีการดูแลต่อเลยหลังจากถ่านหินได้พถูกขุดออกมาจนหมดแล้ว และตอนนี้มาเป็นที่ท่องเที่ยวเชิงหลอนๆ ไปหมดแล้วครับ

ท่าเรือและบริเวณใกล้เคียง เอาจริงๆ น้ำที่นี่ใสมากครับ ไม่รู้เค้าจัดการยังไงให้มันใสได้เท่านี้

ผมได้ไปถึงท่าเรือที่มันมีเรือจอดอยู่ ผมก็รู้ละ ว่ามาถูกงาน แต่คำถามคือ มันอยู่ที่ไหนเหรอ ลำที่จะไปเกาะแห่งนี้? พูดตรงๆ เลยนั่นก็คือ ผมหลงทางนั่นเอง ว่าเค้าขายตั๋วที่ไปเที่ยวนี้ที่ไหน แล้วผมก็ไม่ได้ซื้อล่วงหน้าด้วย เพราะก็กลัวว่าอากาศที่ตอนไปนั้นจะไม่ดี และไม่สวย หรือไม่ปลอดภัยกว่าที่จะไปได้

หลงทาง ไปซื้อตั๋วไม่เจอ

ทำให้ผมได้ไปเจอคุณป้าชาวญี่ปุ่นครับ มันก็ต้องไปถามเค้าอ่ะนะครับ ว่าที่ขายตั๋วมันอยู่ที่ไหน โดยก็หวังว่าเค้าจะมาช่วยเราชี้ว่ามันทางไหนกันแน่ ที่เรียกว่าที่ขายตั๋วไป

ผมก็พูดกับไปครับว่า “Sumimasen. Gunkanjima ship” แล้วก็ทำท่าเป็นว่า งงๆ เอ๊อะๆ ไป แล้วเค้าก็ตอบกลับมาว่า “Gunkanjima” ด้วยเสียงเหมือนประโยคคำถาม เราก็พยักหน้า อือๆ ไป แล้วเค้าก็ดู​ active ที่จะมาช่วยเราครับ และก็ไปถามคนแถวนั้น เชิงว่าเค้าขายตั๋วที่ไหน แล้วความพีคคือ เดี๋ยวพาไป

แล้วเค้าก็พาผมเดินไปหาถึงที่จำหน่ายตั๋วเลยครับ สุดยอดไปเลย!!!

ผมนี่ต้องขอบคุณเค้ามากครับ เพราะว่าแถวนั้นคือป้ายภาษาญี่ปุ่นหมดเลย นักท่องเที่ยว ผมก็ไม่เห็นคนที่เราพอจะถามได้เลยซักคน เหมือนจะไม่ใช่ที่เที่ยวสำหรับคนต่างชาติซะเท่าไหร่เลยครับ ถ้าเพื่อนๆ ไปเองก็ให้ไปที่ที่ขายตั๋วของท่าเรือนั้น และก็ไปรอซื้อที่ขายตั๋ว สำหรับเรือไป Gunkanjima ครับ หน้าตาก็จะเป็นประมาณนี้ครับ แต่ ณ ขณะนั้นก็ประมาณ 8 โมงครึ่งครับ ถือว่าทำเวลาได้ดีทีเดียว แต่ก็ดีเกินไปที่เค้ายังไม่ได้เปิดขายตั๋วเลยครับ เค้าเปิด 9 โมง

ตู้ขายตั๋ว (ภาพซ้าย) ก็จะเห็นชื่อว่า “Gunkanjima Cruise” และที่ขายตั๋วนั้นก็จะอยู่ตรงข้ามท่าเรือหน้าตาเหมือนภาพด้านขวาครับ

อ่ะ ไม่เป็นไร เราก็รอไป 9 โมงครับ เพื่อหวังว่าจะไปซื้อตั๋วไปเกาะแห่งนี้

เรื่มซื้อตั๋วไปเที่ยว

ตัดภาพไปที่ตอนเค้าเปิดขายครับ มีคนรอซื้อเหมือนเราเลย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นแค่คนสองคนเท่านั้นแหละครับ เพราะคนอื่น ผมคิดว่าน่าจะซื้อผ่านเว็บไซต์ไปเรียบร้อยแล้ว พอถึงคิวครับ เราก็บอกเค้าไป “1 ticket to Gunkanjima” เค้าก็พูดภาษาอังกฤษมาเลยครับ เราก็อือๆ ไป และเค้าก็ให้ใบสัญญามาครับ เพื่อให้เซ็นเหมือนว่ายินยอมว่าการเดินทางนี้มีความเสี่ยง ถ้ามีปัญหาอะไร เราไม่เกี่ยวด้วย อะไรประมาณนี้ ตัวแบบฟอร์มเป็นภาษาอังกฤษครับ อ่านไม่น่ายาก

และเราก็จ่ายค่าเดินทางไป 4,500 เยนครับ โดยก็จะเป็นค่าฟื้นฟูเกาะ และก็เป็นค่าเดินทางไปกลับบนเรือครับ เพื่อนๆ ก็จะได้ของพวกนี้ครับ

อ่านไม่ออกทั้งคู่เลยครับ แต่ผมคิดว่าอันซ้ายคือตั๋วขึ้นเรือ และ อันขวาคือตั๋วขึ้นเกาะ

และเราก็รอขึ้นเรือครับ เค้าก็จะบอกว่าให้เราไปขึ้นตอนเวลาไหน และก็ขึ้นที่ท่าเรือเบอร์อะไรครับ รู้สึกว่าเค้าจะเรื่มเดินทางตอน 9 โมงครึ่งครับ

ระหว่างนี้ผมขอให้ข้อมูลกับเพื่อนๆ ที่อยากไปตามครับ

ข้อมูลการเดินทางทั่วไป

เรือลำนี้ เดินทาง 2 รอบครับ นั่นก็คือรอบเช้า​ (9 โมง)​ และอีกรอบนึงคือรอบบ่าย (บ่ายโมง)​ ครับ หลังจากนั้นก็ไม่มีแล้วครับ ถ้าอากาศไม่ดี เค้าก็จะไม่ออกเรือ (นั่นก็คือยกเลิกทริป​)​ หรือลดราคาครับ​ (เพราะก็จะอากาศไม่ดี มองอะไรไม่ค่อยจะเห็น)​ และมีบริษัทที่ให้บริการท่องเที่ยวนี้หลายบริษัทอยู่เหมือนกันครับ ของผมจะขายตั๋วและขึ้นท่าเรือ

เรือที่จะภาเราไปเกาะครับ ก็จะเห็นได้ว่ามีอยู่ 2 ชั้น โดยชั้นบนก็อากาศดี ถ่ายภาพแล้วสวยแน่นอน ชั้นล่างก็ติดแอร์ ถามผมสิว่าผมนั่งไหน

ระหว่างกำลังจะขึ้นเรือ เค้าก็ให้ป้ายห้อยคอมาครับ รู้สึกว่าจะเป็นการแยกว่าเป็นนักท่องเที่ยวแบบไหน ส่วนผมน่าจะเป็นนักท่องเที่ยวที่เข้าใจภาษาอังกฤษครับ ส่วนพวกคนญี่ปุ่น หรือ คนเกาหลี ก็น่าจะเป็นอีกสีนึงครับ บอกเลยว่า วันที่ผมไปนั้น อากาศแจ่มใสมากครับ และก็เดินทางไปยังเกาะไม่นานเลยครับ

ป้ายห้อยคอ และเค้าก็แนะนำว่าให้เราฟังคำอธิบายจากแอปลิเคชันได้ครับ

หน้าตาเกาะฮะจิมะจากระยะไกลครับ ดูเหมือนเรือรบญี่ปุ่นเลยครับ

ไปลงที่เกาะ

และเราก็ได้ไปถึงเกาะครับ โดยที่นี่ เค้าจะมีทางเดินให้เราเดินครับ ก็จะห่างจากตัวตึกตลอดทั้งเส้นทางเลยครับ เพราะเค้าก็ไม่ได้ทำการดูแลซ่อมแซมต่อเลย และก็จะมีการดูแลอย่างต่อเนื่องจริงๆ เพราะน่าจะเคยพบเจอกับนักท่องเที่ยวที่แอบเข้าไปในบริเวณห้ามเข้าอยู่เหมือนกัน

โดยก็จะมีไกด์ (พูดภาษาอังกฤษ) มาพาเราเที่ยวครับ ส่วนพวกนักท่องเที่ยวอื่นๆ ก็ไปเข้าหาไกด์คนพูดภาษาอื่นอ่ะครับ เค้าก็จะเล่าว่าตึกนี้เอาไว้ทำอะไร แล้วประวัติคืออะไร อะไรประมาณนี้ครับ ตามรูปด้านล่างเลยครับ

ภาพบางส่วนของเกาะครับ ก็จะได้มองแค่เท่านี้แหละครับ ที่เหลือเค้าปิดไม่ให้เข้าดูเลย

กลับฝั่งนะงะซะกิ

โดยก็จะใช้เวลาในการเดินเที่ยวในเกาะประมาณ 30 ถึง 45 นาทีครับ ค่อนข้างน่าเบื่อแต่ก็น่าสนใจอยู่เหมือนกันนะครับ สำหรับคนที่อยากมาดูอะไรแบบนี้ ก็ขอแนะนำว่าให้ลองมาดูก็แล้วกันครับ ขออนุญาติไม่เล่าเรื่องมากกว่านี้ครับ อยากให้มาดูของจริงมากกว่าครับ ว่ามันก็น่าสนใจตรงไหน

พอเราออกเรือมาแล้ว เรือก็ได้พาไปวนตัวเกาะในฝั่งด้านหลังที่เราไม่ได้เดินเข้าไปดูอีกซักพักนึงครับ แล้วพอกำลังที่จะกลับไปยังท่าเรือนั้น ผมก็ได้เห็นเรือท่องเที่ยวอีกลำนึงกำลังเข้ามาจอดเทียบท่าครับ ผมก็คิดว่าเค้าก็ทำบริษัทการท่องเที่ยวเกาะฮะจิมะเหมือนกันแหละครับ

กลับมาจอดเทียบท่าแล้ว ผมก็คืนป้ายห้อยคอเค้า แล้วก็ไปหาอะไรกินครับ เพราะว่าผมเนี่ยหิวมากเลย แล้วมันก็ล่วงเลยมาถึงบ่ายโมงแล้วด้วยครับ เพื่อเตรียมตัวเองไปเที่ยวต่อยังที่อื่นๆ อีก และก็ได้เลือกการไปเที่ยว เฮาส์เทนบอช ครับ

ก็เลยไปยังห้างที่อยู่หน้าท่าเรือครับ แล้วก็ไปกินนี่ครับ ข้าว ไข่ ซอสมะเขือเทศ

ไอเราก็ไม่รู้หรอกครับ ว่ามันคืออะไรตอนที่สั่ง เพราะเราก็อ่านไม่ออกเหมือนกัน และก็ไม่ค่อยเข้าใจภาษาอังกฤษของชาวญี่ปุ่นด้วย ก็เลยได้ตามนี้แหละครับ เอาจริงๆ นี่คือครั้งแรกเลยครับที่ผมได้ไปกินเหมือน food court ของญี่ปุ่น ก็น่าสนใจอยู่เหมือนกันครับ ความรู้สึกเหมือนว่าเราอยู่ที่ไทย แต่ว่ามันเหมือนกับว่าเรากินข้าวแบบเหงาๆ แล้วทุกคนก็ไม่รู้จักเรา เราก็ไม่รู้จักเค้า ไม่ค่อยคุยกันอีกด้วย แล้วเราต้องเก็บจานอะไรที่ไหน ก็ไม่รู้อีก

เราเลยรู้สึกว่า การที่เราไปเที่ยวคนเดียวนั้น มันไม่มีคนช่วย มันเหมือนต้องอยู่รอดเองคนเดียวอ่ะครับ ถือว่ายากอยู่พอสมควรเลยทีเดียว ผมถือว่าเรื่องแค่นี้น่าสนใจสำหรับชีวิตผมจริงๆ นะ

ส่วน story ผมไปเที่ยว เฮาส์เทนบอช ที่ผมอยากจะไปเที่ยวต่อ ก็สามารถเข้าไปดูได้ที่นี่ครับ

และถ้าเพื่อนๆ ชอบ ก็สามารถกด Follow และตบมือให้ผมด้วยนะครับ ;)